![](/upload/library/images/1.jpg)
ภาพเหมือนของจอประสาทตา โดย ศ.นพ. อุทัย รัตนิน เมื่อ พ.ศ. 2510 นับเป็นบุคคลแรกที่วาด
จอประสาทตาอย่างละเอียดตีพิมพ์ในวารสารจักษุอเมริกัน ปัจจุบันยังแสดงอยู่ในตำราด้านจักษุของอเมริกาหลายเล่ม
โรคจอประสาทตาลอก มีโอกาสเกิดประมาณ 1 ในประชากรทุกๆ 10,000 คนต่อปี ถึงแม้จะพบน้อยแต่ก็เป็นปัญหาที่ร้ายแรงทางตา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยกลางคนและผู้สูงอายุที่มีสายตาสั้น หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคจอประสาทตาลอกมาก่อน สาเหตุอื่นที่อาจพบได้อีก คือ การที่ตาถูกกระแทกอย่างแรงและปัจจัยทางกรรมพันธุ์จอประสาทตาอย่างละเอียดตีพิมพ์ในวารสารจักษุอเมริกัน ปัจจุบันยังแสดงอยู่ในตำราด้านจักษุของอเมริกาหลายเล่ม
สาเหตุ
จอประสาทตาลอกมักเกิดจากการเสื่อมของน้ำวุ้นตา โดยปกติภายในลูกตาจะเต็มไปด้วยน้ำวุ้นใสที่เรียกว่า “น้ำวุ้นตา” เมื่อน้ำวุ้นตาเสื่อมจะเกิดการสลายตัว และเกิดผลกระทบทำให้จอประสาทตาฉีกขาดและหลุด โรคจอประสาทตาลอกที่เกิดจากสาเหตุข้างต้น แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1. จอประสาทตาฉีกหรือเป็นรู
ปกติน้ำวุ้นตาจะเกาะติดแน่นกับจอประสาทตาที่อยู่ด้านหลังของลูกตา ตามธรรมชาติแล้วเมื่ออายุมากขึ้นน้ำวุ้นตาเริ่มเสื่อม และมีการหดตัว บางครั้งจะดึงให้เนื้อจอประสาทตาบางส่วนฉีกตามไปด้วย และทำให้เกิดรูรั่วที่จอประสาทตา แม้ว่าตามธรรมชาติแล้วน้ำวุ้นตาจะเสื่อมและเกิดการหดตัวเมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็มีเพียงน้อยรายที่มีผลกระทบต่อจอประสาทตา ส่วนสาเหตุอื่นที่พบได้อีก คือ ภาวะสายตาสั้นมาก การอักเสบภายในลูกตา การที่ดวงตาถูกกระแทกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกรณีที่มีเลือดออกในน้ำวุ้นตา
2. จอประสาทตาฉีกขาดและหลุดลอก
จอประสาทตาหลุดลอกเกิดจากมีรูฉีกขาดหรือรั่ว ทำให้น้ำในน้ำวุ้นตาไหลผ่านรอยฉีกหรือรูรั่วที่จอประสาทตาเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างชั้นจอประสาทตา และผนังด้านหลังของตา
นอกจากนี้ยังมีโรคจอประสาทตาลอกซึ่งเกิดจากโรคทางดวงตาอื่นๆ เช่น เนื้องอก การอักเสบอย่างรุนแรง หรือจอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวาน โรคจอประสาทตาเสื่อมประเภทนี้จะไม่มีรูรั่วที่จะประสาทตา การรักษาจึงต้องมุ่งไปที่สาเหตุของโรคเป็นสำคัญ
อาการ
1. เห็นเงาดำเป็นจุดหรือเห็นหยากไย่ที่เกิดขึ้นโดยทันที หรือหากเคยเห็นอยู่ก่อนแล้วจะเห็นเพิ่มมากขึ้น
2. มีไฟแลบเกิดขึ้นทั้งในเวลาหลับตาและลืมตา
3. มีเงาคล้ายม่านดำมาบัง ทำให้สายตามัวและมืดลงในที่สุด
ข้อควรระวัง
เมื่อเกิดอาการดังกล่าว แม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจจากจักษุแพทย์อย่างละเอียดทันที เพื่อตรวจดูว่ามีรอยฉีกขาดหรือลอกหลุดของจอประสาทตาหรือไม่ เพราะหากมีแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยอาจเกิดโรคจอประสาทตาลอกหลุดขั้นรุนแรงจนตาบอดได้
กลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
ผู้ที่มีสายตาสั้นมาก มีประวัติจอประสาทตาลอกมาแล้วข้างหนึ่ง มีอุบัติเหตุกระทบกระแทกที่ตามหลังการสลายต้อกระจก และมีประวัติบุคคลในครอบครัวที่เป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอก เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคนี้ จึงควรรับการตรวจตาอย่างละเอียดจากจักษุแพทย์เป็นระยะๆ
การตรวจและวินิจฉัย
จอประสาทตาลอกไม่สามารถตรวจพบได้โดยอาศัยการส่องดูแต่เพียงภายนอก หากผู้ป่วยรายใดเกิดอาการผิดปกติตามที่ระบุไว้ หรือมีความเสี่ยงต่อโรคนี้สูง จักษุแพทย์จะตรวจวินิจฉัยภายในลูกตาอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือตรวจจอประสาทตา Ophthalmoscope ซึ่งมีแสงสว่างและกำลังขยายสูง ทำให้จักษุแพทย์สามารถตรวจหาตำแหน่งของจอประสาทตาที่ฉีกขาดหรือที่บางผิดปกติ บางครั้งจักษุแพทย์ต้องใช้เครื่องมือพิเศษช่วยในการตรวจวินิจฉัย เช่น กล้องจุลทรรศน์ (Slit Lamp) ประกอบกับคอนแทคเลนส์พิเศษ และเครื่องตรวจตาด้วยความถี่สูง (Ultrasound) เป็นต้น
วิธีการรักษา
1. กรณีจอประสาทตาฉีกขาดหรือมีรูรั่ว แต่ยังไม่หลุดลอกออกมา
จักษุแพทย์จะดูจากตำแหน่งของโรค เพื่อพิจารณาว่าจะเลือกวิธีการรักษาวิธีใด ดังนี้
1.1 การฉายแสงเลเซอร์ที่จอประสาทตา (Argon Multiwavelength)
จักษุแพทย์จะฉายเลเซอร์ไปรอบรอยฉีกหรือรูรั่ว เพื่อสมานให้เป็นขอบติดแน่นกับผนังด้านหลังภายในลูกตา ทำให้น้ำในน้ำวุ้นลูกตาไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปเซาะจอประสาทตาให้หลุดลอกได้ และภายหลังการรักษา ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้โดยทันที โดยไม่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
1.2 การรักษาโดยใช้ความเย็น (Cryoplexy)
จักษุแพทย์จะใช้ความเย็นจัดจี้ผนังทางด้านนอกของลูกตาตรงจอประสาทที่ฉีกขาดหรือเป็นรูรั่ว ความเย็นจะสมานรอบรอยฉีกขาดให้เป็นขอบยึดติดกับผนังด้านหลังภายในลูกตา เหมือนการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ หลังการรักษาผู้ป่วยจะสามารถกลับบ้านได้ทันที โดยไม่ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
2. กรณีจอประสาทตาฉีกขาดหรือมีรูรั่ว จนทำให้จอประสาทตาหลุดลอกออกมาแล้ว
จักษุแพทย์จะรักษาจอประสาทตาหลุดลอกด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้
2.1 ฉีดแก๊ส (Retinopneumoplexy)
จักษุแพทย์จะทำการฉีดแก๊สเข้าไปในช่องน้ำวุ้นตา เพื่อดันให้จอประสาทตาติดกลับไปที่ผนังด้านหลังภายในลูกตา แล้วฉายแสงเลเซอร์หรือจี้ความเย็นเพื่ออุดรูรั่ว
2.2 เย็บแผ่นซิลิโคนหนุนผนังตาขาวและรัดสายซิลิโคนรอบลูกตา (Scleral Buckling)
เป็นการผ่าตัดที่เจาะน้ำใต้จอประสาทตาออกแล้วเย็บแผ่น Silicone Strap (เข็มขัด) รัดรอบลูกตา เพื่อหนุนให้ผนังตาขาวยุบไปแนนติดรูรั่วที่จอประสาทตา และอุดรูรั่วด้วยการฉายแสงเลเซอร์หรือจี้ความเย็น
2.3 ผ่าตัดน้ำวุ้นตา (Vitrectomy)
จักษุแพทย์จะตัดน้ำวุ้นตาออก เพื่อลดแรงดึงรั้งของน้ำวุ้นต่อจอประสาทตา หรือเพื่อลอกแผ่นพังผืดที่ยึดเกาะจอประสาทตา หลังผ่าตัดจักษุแพทย์อาจเลือกใส่แก๊ส (Gas-Fluid Exchange) หรือ Silicone oil หรือ Perflurocarbon liquid ไว้แทนน้ำวุ้นตาชั่วคราว เพื่อให้เกิดแรงดันกดจอประสาทตาให้กลับติดตั้งดังเดิม
กว่า 85%- 90% ของผู้ป่วยจอประสาทตาลอก สามารถรักษาให้หายได้โดยการรักษาเพียงครั้งเดียว แต่
ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคจอประสาทตาลอกแบบซับซ้อน อาจต้องเข้ารับการรักษามากกว่า 1 ครั้ง
สำหรับการระงับความรู้สึกขณะรักษาด้วยวิธีตัดน้ำวุ้นตาและวิธี Scleral Buckling จะเลือกใช้วิธีดมยาสลบหรือการระงับความรู้สึกเฉพาะที่ ขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วยและระยะเวลาของการผ่าตัด ผู้ป่วยที่เป็นโรคจอประสาทตาลอกชนิดที่ไม่ซับซ้อน สามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังผ่าตัด แล้วกลับมาตรวจตาในวันรุ่งขึ้น แต่บางรายอาจต้องอยู่ในโรงพยาบาล 1 - 3 วัน ตามความต้องการของผู้ป่วยหรือแพทย์ ในกรณีต้องดูแลอย่างใกล้ชิดหากมีความซับซ้อนในการรักษา ส่วนผู้ป่วยที่ต้องฉีดแก๊สในน้ำวุ้นตา จะต้องนั่งหรือนอนคว่ำหน้าไประยะหนึ่งจนกว่าจอประสาทตาจะติดแน่น
ผู้ป่วยบางรายที่เป็นจอประสาทตาลอกชนิดรุนแรงและเรื้อรัง จะมีพังผืดหนาแน่นยึดแผ่นจอประสาทตาที่ลอกให้หดตัวรวมกันเป็นขยุ้ม กรณีนี้จักษุแพทย์อาจไม่สามารถคลี่แผ่นจอประสาทตาให้กลับมาติดได้ดังเดิม ผู้ป่วยจะค่อยๆสูญเสียการมองเห็นจนตาบอดในที่สุด
ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งของโรคจอประสาทตาหลุดลอก จะต้องรีบพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อตรวจตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรวจจอประสาทตาอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติ และได้รับการรักษาได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที