02-056-3333
ศูนย์รักษาโรค> รอบรู้เรื่องตา

วิธีการรักษาโรคต้อกระจก เผยสาเหตุ และอาการ

ต้อกระจกเป็นภาวะการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เกิดจากการขุ่นของ "แก้วตา" หรือ "เลนส์ตา"

โดยปกติเลนส์ตาจะมีลักษณะใสทำหน้าที่รวมแสงให้ตกลงบนจอประสาทตาพอดี เมื่อเกิดต้อกระจก จอประสาทตาจะรับแสงได้ไม่เต็มที่  ทำให้สายตาพร่ามัวเหมือนมองผ่านกระจกฝ้า ยิ่งแก้วตาขุ่นมากขึ้น การมองเห็นจะลดน้อยลงตามลำดับ ทั้งนี้ ต้อกระจกจะไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวดใดๆ ต้อกระจกมักจะพบในผู้สูงอายุ  โดยผู้สูงอายุที่เป็นต้อกระจก ในช่วงอายุระหว่าง 55 - 64 ปี จะพบได้ 40%  ส่วนช่วงอายุ 65 - 74 ปี จะพบได้ 50% และอายุมากกว่า 74 ปี พบว่าเป็นต้อกระจกมากกว่า 90%

เกร็ดความรู้เรื่อง "ต้อกระจก"

1. ต้อกระจกไม่ใช่โรคติดต่อจึงไม่ลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปอีกตาข้างหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองตา แต่รอยโรคและอาการอาจลุกลามมากน้อยไม่เท่ากัน
2. การใช้สายตามากๆ ไม่ใช่สาเหตุของการเกิดต้อกระจก หรือทำให้อาการที่เป็นอยู่ลุกลามมากขึ้น
3. ต้อกระจกมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ จนกว่าสายตาของผู้ป่วยจะขุ่นมัวจนมองเห็นไม่ชัด อาจใช้เวลานานหลายเดือน หรือหลายปี โดยทั่วไปต้อกระจกถือว่าเป็นโรคทางตาที่รักษาแล้วได้ผลดีมาก

สาเหตุ

1. วัยสูงอายุ คือ สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด แก้วตาจะขุ่นและแข็งตัวเร็วขึ้น แต่ต้อกระจกชนิดนี้อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยที่อายุเพียง 40 ปี
2. อุบัติเหตุ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดต้อกระจกได้ หากดวงตาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง โดนของมีคม สารเคมี หรือสารรังสี
3. โรคตา หรือ โรคทางร่างกายบางโรค เช่น การติดเชื้อ โรคเบาหวาน การรับประทานยาบางชนิด โรคตาบางโรค อาจจะเป็นสาเหตุหรือกระตุ้นให้ต้อกระจกขุ่นเร็วขึ้นได้
4. กรรมพันธุ์ และความผิดปกติแต่กำเนิด ในกรณีที่พบต้อกระจกในผู้ป่วยที่เยาว์วัย เกิดขึ้นได้จากกรรมพันธุ์ หรือจากการติดเชื้อและการอักเสบตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เช่น มารดาเป็นหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์ แต่ในหลายรายต้อกระจกอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด

อาการ

1. สายตามัวเหมือนมีฝ้า หรือหมอกบัง จะมัวเร็วหรือช้า มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระดับและตำแหน่งของความขุ่นในเนื้อเลนส์แก้วตา หากเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณขอบเลนส์ ผู้ป่วยจะยังคงมองเห็นได้ชัดเจนตามปกติ
2. เห็นภาพซ้อน สายตาพร่า อาการระยะแรกของต้อกระจกในผู้ป่วยบางราย จะมีสายตาสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นตาบ่อยๆ บางรายสายตาสั้นขึ้นจนอ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องใส่แว่น เรียกว่า "สายตากลับ" เมื่อเป็นต้อกระจกรุนแรงขึ้นสายตาจะขุ่นมัวจนแว่นตาก็ไม่สามารถช่วยได้ สังเกตได้จากการมองผ่านรูม่านตา ซึ่งปกติเห็นเป็นสีดำ จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีขาว
3. สู้แสงสว่างไม่ได้
4. มองเห็นสีต่างๆ ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
หากละเลยทิ้งไว้จนต้อกระจกสุกเกินไป อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น โรคต้อหิน การอักเสบภายในตา ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดตา ตาแดง และอาจถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้

ขั้นตอนและวิธีการรักษา

จักษุแพทย์จะตรวจวินิจฉัยดวงตาอย่างละเอียด เพื่อแยกชนิด ตำแหน่ง และความรุนแรงของต้อกระจก นอกจากนี้ยังต้องวัดความดันลูกตา ตลอดจนตรวจน้ำวุ้นตากับจอประสาทตาอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าต้อกระจกเป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้สายตาขุ่นมัว หรือมีโรคตาอื่นมาประกอบด้วย
ในบางกรณีจักษุแพทย์บางท่านอาจใช้ยาหยอดตา เพื่อชะลอความรุนแรงของต้อกระจก แต่ไม่มียาชนิดใดสามารถลดหรือหยุดต้อกระจกได้ เมื่อสายตาขุ่นมัวจนไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน ควรทำการผ่าตัด หรือสลายต้อกระจก และใส่เลนส์สังเคราะห์ หรือเลนส์แก้วตาเทียมให้แก่ผู้ป่วย เพื่อให้มองเห็นในระยะไกลได้เป็นปกติ

วิธีการสลายต้อกระจก

1. วิธีสลายต้อกระจกด้วยคลื่นอุลตร้าซาวด์ หรือ “เฟโค”
(Phacoemulsification + Intraocular Lens Implantation)
การสลายต้อด้วยคลื่นอุลตร้าซาวด์เป็นวิธีล่าสุดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในปัจจุบัน โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่รักษาต้อกระจกด้วยวิธีนี้จักษุแพทย์จะเปิดช่องเล็กๆ ที่ผนังตาขาวประมาณ 3 มม. เพื่อสอดเครื่องมือสลายต้อเข้าไปที่ตัวต้อกระจก และปล่อยคลื่นอุลตร้าซาวด์หรือคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าสลายและขจัดต้อกระจกจนหมด เหลือไว้แต่เปลือกหลังของเลนส์แก้วตาเพื่อเป็นถุงรองรับเลนส์แก้วตาเทียม จึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ในถุงนี้ เนื่องจากแผลที่เกิดจากการรักษาด้วยวิธีนี้มีขนาดเล็กมาก จึงสมานตัวเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเย็บแผลในคนไข้ส่วนใหญ่ และภายหลังการสลายต้อกระจก ผู้ป่วยจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในทันที และใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้น้ำเข้าดวงตาหลังการสลายต้อกระจกตามระยะเวลาที่จักษุแพทย์กำหนด พร้อมทำความสะอาดดวงตา รับประทานยา และหยอดยา ตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด
2. วิธีผ่าตัดต้อกระจกแบบเปิดแผลกว้าง
เป็นวิธีผ่าตัดดั้งเดิมที่ใช้ในกรณีที่ต้อกระจกสุก และแข็งตัวมาก จนไม่เหมาะกับการสลายด้วย
คลื่นอุลตร้าซาวด์ จักษุแพทย์จะเปิดแผลตามแนวรอยต่อระหว่างกระจกตาดำ และผนังตาขาวบริเวณครึ่งบนของลูกตายาวประมาณ 10 มม.เพื่อเอาตัวเลนส์แก้วตาที่เป็นต้อกระจกออก เหลือเพียงเปลือกหุ้มเลนส์ด้านหลังไว้เป็นถุง แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ในถุงนี้ หลังจากนั้นจึงเย็บปิดแผลด้วยไนล่อนชนิดบางพิเศษ

ทำไมต้องใส่เลนส์แก้วตาเทียม

ภายหลังการสลายเลนส์แก้วตาที่เป็นต้อกระจกออกแล้ว ดวงตาจะไม่มีเลนส์แก้วตาเพื่อทำหน้าที่รวมแสง มีผลให้สายตายังมัวอยู่ ดังนั้น จักษุแพทย์จึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าแทนที่เพื่อทำหน้าที่รวมแสงให้การมองเห็นเป็นปกติ

แก้วตาเทียม หรือ เลนส์ตาเทียม

แก้วตาเทียม คือ วัสดุสังเคราะห์ที่จักษุแพทย์ใช้ใส่เข้าไปในถุงหุ้มเลนส์ภายในลูกตา หลังจากการสลายต้อกระจกออกไปแล้ว เพื่อใช้ในการคำนวณค่ากำลังเลนส์แก้วตาเทียม
การใส่แก้วตาเทียม หรือที่เรียกว่า “การฝังเลนส์เทียม” ซึ่งจักษุแพทย์จะทำการวัดขนาดลูกตาและความโค้งกระจกตาเพื่อใช้ในการคำนวนค่ากำลังเลนส์แก้วตาเทียมให้ถูกต้อง ก่อนทำการสลายต้อกระจก หลังจากใส่เลนส์แก้วตาเทียมแล้ว ผู้ป่วยสามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนเหมือนก่อนเป็นต้อกระจก
เลนส์แก้วตาเทียม จะมีอายุการใช้งานได้นานตลอดชีพ มากกว่า 95%ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาต้อกระจกและได้รับการใส่เลนส์แก้วตาเทียมจะมีสายตาที่ดีขึ้น มีน้อยรายที่เยื่อรองรับเลนส์แก้วตาเทียมอาจมีการขุ่นตัว หลังจากใส่เลนส์ไปเป็นเวลาหลายปี สายตาที่เคยเห็นได้ชัดเจนหลังผ่าตัดใหม่ๆ จะค่อยๆ มัวลงบ้าง จักษุแพทย์สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยไม่มีความเจ็บปวด ด้วยการใช้ แย็กเลเซอร์ (Yag Laser) เพื่อขจัดความขุ่นตัวของเยื่อรองรับเลนส์ให้หมดไปได้ทันที
การฝังเลนส์แก้วตาเทียม ไม่มีผลกระทบกระเทือนจากการทำงานหนักแต่อย่างใด ยกเว้นต้องระวังอย่าให้ตาข้างนั้นโดนกระแทกโดยตรงอย่างรุนแรง เพราะเลนส์ที่ใส่ไว้จะเคลื่อนที่ได้ และทำให้ตามัวลงทันที
การฝังเลนส์เทียม เป็นการฝังเลนส์ไว้อย่างถาวรไปตลอดชีวิต โดยไม่มีการเปลี่ยนขนาดอีก เพราะถ้าต้องเปลี่ยนก็ต้องผ่าตัดใหม่อีกครั้ง มักไม่พบอาการแทรกซ้อนจากการใส่เลนส์เทียมถ้าผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดสลายต้อกระจกได้อย่างเรียบร้อยและถูกวิธีตั้งแต่แรก

ข้อควรระวังหลังสลายต้อกระจก

1. ให้สวมแว่นตาคู่เดิม แว่นตากันลม หรือแว่นตากันแดด เพื่อป้องกันการขยี้ตาและป้องกันการเกิดการกระทบกระเทือนที่ดวงตา และก่อนนอนทุกคืนให้ครอบตาข้างที่สลายต้อกระจกด้วยฝาครอบตา เพื่อป้องกันการขยี้ตาในระหว่างการนอนเช่นกัน
2. ห้ามน้ำเข้าดวงตาโดยเด็ดขาด ตามระยะเวลาที่จักษุแพทย์กำหนด เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าดวงตา ให้ใช้ผ้าขนหนูที่สะอาดชุบน้ำเช็ดหน้าแทนการล้างหน้า และไม่ควรสระผมด้วยตนเอง ควรนอนหงายให้ผู้อื่นสระผมให้ และในขณะสระผมควรหลับตา เพื่อป้องกันน้ำที่อาจกระเด็นเข้าดวงตาได้
3. ทำการเช็ดทำความสะอาดดวงตาตามวิธีที่จักษุแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด