02-056-3333
ศูนย์รักษาโรค> รอบรู้เรื่องตา

โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ Age-related Macular Degeneration (AMD)

     ผู้ที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป ควรได้รับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะผู้สูงอายุแม้ว่าจะไม่มีโรคประจำตัวใด ๆ ก็มีโอกาสที่จะเกิด "โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ" ได้
     
     โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติบริเวณจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นเฉพาะภาพตรงกลาง โดยที่ภาพด้านข้างของการมองเห็นยังดีอยู่ พบมากในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งโรคนี้เป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จะทำให้การมองเห็นลดลงจนอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้อย่างรวดเร็วภายใน 2 ปี หากไม่ได้รับการรักษา และหากพบว่าเป็นโรคนี้ในตาข้างหนึ่งข้างใดแล้วจะมีความเสี่ยงสูงมากกว่า 40% ที่จะเกิดกับตาอีกข้างหนึ่งภายในระยะเวลา 5 ปี หลังจากที่เคยเป็นในตาข้างแรกแล้ว

สาเหตุของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม

ปัจจัยเสี่ยงที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม ได้แก่
● อายุ สามารถพบได้ในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป
● พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ควรได้รับการตรวจเช็คจอประสาทตาทุก 1 ปี
● เชื้อชาติและเพศ พบโรคนี้ได้มากในคนต่างชาติ ยุโรป, อเมริกา และเพศหญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
● การสูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
● ภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยาลดความดันโลหิตและมีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูง
    ระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำ มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก

    (Wet AMD)
● วัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนและไม่ได้รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจน มักมีความเสี่ยงสูง
    ในการเป็นโรคนี้

 

ชนิดของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม

1. แบบแห้ง (Dry AMD)

   เป็นชนิดที่พบมากที่สุด เกิดจากการเสื่อมและบางตัวลงของจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา (Macular) จากกระบวนการเสื่อมตามอายุ อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง คือ การมองเห็นภาพเบลอทำให้มองเห็นหน้าคนไม่ชัดเจน เป็นผลให้จำหน้าบุคคลไม่ได้ หรือต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการเริ่มจากตามัวเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสามารถในการมองเห็นจะค่อย ๆ ลดลงและเป็นไปอย่างช้า ๆ

2. แบบเปียก (Wet AMD)

    พบประมาณ 10 - 15 % ของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด แต่จะสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุสำคัญของอาการตาบอดในโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม เกิดจากมีหลอดเลือดผิดปกติงอกอยู่ใต้จอประสาทตา ทำให้เลือดและของเหลวที่อยู่ภายในไหลซึมออกมา เป็นผลให้จุดศูนย์กลางการรับภาพบวม ผู้ป่วยจะเริ่มมองเห็นภาพตรงกลางบิดเบี้ยว และเมื่อเซลล์ประสาทตาตาย ผู้ป่วยจะสูญเสียการมองเห็นในที่สุด อาการเริ่มต้นของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก คือ เริ่มเห็นเส้นตรงกลายเป็นเส้นโค้งบิดเบี้ยว เห็นภาพสีซีดจางกว่าปกติ และอาจเห็นจุดมืดดำที่ตรงกลางภาพ
           
     ผู้ป่วยที่ตรวจพบว่ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งของโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม สามารถสังเกตความผิดปกติ
ด้วยตัวเองได้ โดยการใช้แผ่นทดสอบ "แอมส์เลอร์กริด" (Amsler Grid) โดยไม่ต้องถอดแว่นตา หรือ คอนแทคเลนส์ที่ใส่อยู่ออก  โดยนำแผ่นทดสอบไปติดบนผนังที่มีแสงสว่างเพียงพอในระดับสายตา ยืนห่างจากแผ่นภาพประมาณ 14 นิ้ว ใช้มือปิดตาข้างหนึ่งไว้แล้วมองที่จุดสีดำตรงกลางแผ่นทดสอบด้วยตาข้างที่เปิดอยู่ ทำซ้ำเช่นเดียวกันกับตาอีกข้าง หากมองเห็นลายเส้นตรงบนแผ่นทดสอบ มีลักษณะเป็นคลื่น หงิกงอ ขาดจากกัน พร่ามัว หรือบางพื้นที่หายไปจากที่มองเห็นควรรีบไปพบจักษุแพทย์ภายใน 1 สัปดาห์ จักษุแพทย์จะทำการตรวจโดยใช้กล้อง Slit Lamp Biomicroscope และตรวจพิเศษด้วยการฉีดสีเพื่อถ่ายภาพจอประสาทตา หรือเข้าเครื่องตรวจวิเคราะห์ภาพตัดขวางจอประสาทตา เพื่อดูลักษณะและขอบเขตความผิดปกติที่เกิดขึ้น

การป้องกัน

● ควรสวมแว่นตากันแดดที่เคลือบสารป้องกันรังสียูวีและหมวกปีกกว้างเวลาที่ออกมาเผชิญกับแสงแดด
● รับประทานผักและผลไม้ โดยเฉพาะผักใบเขียวที่มีส่วนประกอบของลูทีน (Lutein)
    เช่น ผักในตระกูลคะน้า หัวผักกาด ผักขม บล๊อคโคลี่ เป็นต้น

● งดการสูบบุหรี่
● หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
● หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีไขมันและคลอเรสเตอรอลสูง

วิธีการรักษา

   ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งให้หายขาด ทำได้เพียงชะลอการเกิดโรคเท่านั้น คือ การตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เป็นประจำ รวมถึงควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการเสื่อมของจุดศูนย์กลางการรับภาพของจอประสาทตา ส่วนการรักษาโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก ทำได้โดย

1. การฉายแสงเลเซอร์ที่ทำให้เกิดความร้อนลงบนจอประสาทตา (Laser Photocoagulation)

   เพื่อยับยั้งหรือชะลอเส้นเลือดผิดปกติที่ทำให้เกิดเลือดออกใต้จอประสาทตาได้ ส่วนของจอประสาทตาที่โดนแสงเลเซอร์ชนิดนี้จะถูกความร้อนทำลายไปด้วย ทำให้เกิดจุดมืดดำอย่างถาวร การมองเห็นจะลดลงทันทีหลังการรักษา ซึ่งการรักษาวิธีนี้ ใช้ได้กับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของโรคอยู่ห่างจากศูนย์กลางจอประสาทตาพอสมควร

2. การฉายแสดงเลเซอร์ที่ไม่ทำให้เกิดความร้อนภายหลัง ร่วมกับการให้ยาเข้าทางเส้นเลือด
    (Photodynamic Therapy : PDT)

    โดยจะให้ยาเข้าทางเส้นเลือดผ่านไปตามระบบไหลเวียนโลหิต และจับกับเซลล์ที่มีการแบ่งตัวที่ผนังหลอดเลือดที่ผิดปกติใต้จอประสาทตา จากนั้นจึงฉายแสงไปช่วยกระตุ้นให้ยาทำลายหลอดเลือดที่ผิดปกติ โดยไม่มีผลกระทบกับจอประสาทตาบริเวณนั้น ซึ่งผู้ป่วยยังคงสามารถมองเห็นได้เหมือนก่อนการฉายแสงเลเซอร์ ในบางรายที่อาการของโรคยังไม่รุนแรงการมองเห็นที่ลดลงก่อนการรักษาอาจกลับคืนมาใกล้เคียงกับปกติได้

3. การฉีดยากลุ่ม (Anti-Vascular Endothelial Growth Factor : Anti-VEGF)

    เข้าไปในน้ำวุ้นตาเพื่อทำให้เส้นเลือดที่งอกผิดปกติฝ่อไป ต้องฉีดอย่างน้อย 3 ครั้ง ทุก 1 เดือน และอาจต้องฉีดทุก 2 - 3 เดือนในระยะต่อมา

4. การผ่าตัด

    ทำในกรณีที่มีเลือดออกใต้ศูนย์กลางรับภาพ โดยการฉีดยาเข้าไปเพื่อทำให้เลือดที่แข็งตัวละลาย และฉีดแก๊สเข้าไปรีดเลือดให้ขยับออกจากศูนย์กลางจอรับภาพ